PTT Group Sharings
21 กุมภาพันธ์ 2565

รวมไอเดียสร้างรายได้แบบ Passive Income

ยุคสมัยนี้การมีรายได้ทางเดียวไม่เพียงพอจะสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงระยะยาว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่หลายๆ คนเริ่มตระหนัก และเริ่มมองหาช่องทาง การสร้างรายได้อื่นๆ ซึ่ง รายได้ (Income) ออกเป็น 2 ประเภท คือ Active Income และ Passive Income

  • Active income รายได้จากการทำงานที่ต้องอาศัยทั้งแรง และเวลา หากเราหยุดทำงาน หรือ ขาดงาน ก็จะขาดรายรับจากงานตรงนี้ไป โดยส่วนใหญ่แล้วงานประเภทนี้จะเป็นงานประจำ เช่น มนุษย์เงินเดือน งานที่ได้รับค่าตอบแทนรายวัน หรือ รายเดือนจากบริษัท เป็นต้น
  • Passive income รายได้จากการลงทุน หรือ อื่นๆ ที่ไม่ต้องใช้เวลา หรือ ใช้เวลาไม่มากนัก และหากเราหยุดทำงานก็ยังคงได้รับรายได้ตรงนี้อยู่ เป็นการปล่อยให้เงิน หรือสินทรัพย์ที่เราซื้อมาหรือสร้างขึ้น ได้ทำงานหรือสร้างมูลค่าของตัวมันเอง

วิธีสร้าง Passive income ที่จะทำให้คุณสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการรับ Active income เพียงแค่อย่างเดียว ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. ฝากเงินออมทรัพย์ หรือ เงินฝากออมทรัพย์แบบดิจิทัล นำเงินเก็บของคุณไปฝากไว้ในธนาคาร และในทุกๆ 6 เดือน คุณก็จะได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากเหล่านั้น ซึ่งนี่เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และแน่นอนว่าอาจไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงนัก แต่ก็แลกกับสภาพคล่องในระยะสั้น

2. ซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ นำเงินเก็บของคุณส่วนหนึ่งไปซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ และส่งเบี้ยประกันทุกปี วิธีนี้มีข้อดี คือ คุณจะได้ความคุ้มครองแบบประกันชีวิต ควบคู่ไปกับได้ดอกเบี้ยบางส่วนคืน และเมื่อครบอายุสัญญาตามที่กำหนด คุณก็จะได้เงินฝากคืนทั้งก้อน และข้อเสีย คือ ประกันแบบสะสมทรัพย์โดยส่วนใหญ่มีระยะสัญญาหลายปี เพราะฉะนั้นคุณต้องมีการวางแผนทางการเงินที่ดีเพื่อให้สามารถส่งเบี้ยประกันให้ครบทุกงวดตามเงื่อนไข มิเช่นนั้นอาจจะโดนยกเลิกกรมธรรม์ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้แบบเงินฝากออมทรัพย์ได้ และดอกเบี้ยผลตอบแทนสำหรับการซื้อประกันประเภทนี้ไม่ได้สูงมาก แต่ก็ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป

3. ซื้อตราสารหนี้ หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ การลงทุนประเภทนี้จะคล้ายกับการซื้อหุ้น แต่จะมาในรูปแบบของผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ และบริษัทผู้ขายหุ้น หรือ รัฐบาลเป็นลูกหนี้ ที่เราเรียกว่า หุ้นกู้เอกชน หรือ พันธบัตรรัฐบาลนั่นเอง โดยที่ทางบริษัทผู้ขายหุ้น หรือ รัฐบาลจะจ่ายเงินตอบแทนให้แก่ผู้ซื้อหุ้นเหล่านั้นเป็นดอกเบี้ย และจ่ายจนครบตามระยะสัญญาที่ได้ระบุไว้ โดยปกติแล้วการซื้อพันธบัตร หรือ หุ้นกู้เหล่านี้จะมีการกำหนดระยะเวลาการถือครองตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จนถึงไม่เกิน 30 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ซึ่งการซื้อตราสารหนี้ หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำเช่นกัน

4. ซื้อหุ้น หรือ กองทุนรวม การลงทุนประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง และโดยปกติแล้วจะไม่มีเงื่อนไข หรือ สัญญากำหนดระยะเวลาการถือครอง ดังนั้นผู้ถือครองหุ้นบางคนอาจสามารถทำเงินในระยะเวลาสั้นๆ ได้จากการรับส่วนต่างจากการซื้อ-ขายหุ้น แต่สิ่งที่แลกมากับผลตอบแทนที่สูง และสามารถทำเงินได้ในระยะเวลาอันสั้น คือ ความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง หรือ อาจเลือกเป็นการรอรับเงินปันผลจากของผลประกอบการของบริษัท ซึ่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการรับส่วนต่างจากการซื้อ-ขายหุ้น แต่โดยทั่วไปแล้วก็มีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเช่นกัน ซึ่งกลุ่มหุ้นหรือกองทุนที่น่าสนใจในระยะยาวก็เช่น หุ้นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคพื้นฐาน และกองทุนที่ลงทุนในพลังงานสะอาด เป็นต้น

5. การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นการลงทุนในระยะยาว โดยส่วนใหญ่แล้วจะได้ผลตอบแทนในรูปของค่าเช่า เช่น ซื้อบ้าน หรือ คอนโดมิเนียมแล้วปล่อยเช่า รวมไปถึงการสร้างหอพัก บ้าน หรือ ที่ดินแล้วปล่อยเช่า การปล่อยเช่านั้นสามารถทำได้ทั้งปล่อยเช่าที่ดินพร้อมอาคารสิ่งปลูกสร้าง หรือ ปล่อยเช่าที่ดินเปล่า ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง โดยการลงทุนแบบนี้มีข้อดี คือ ได้ผลตอบแทนในระยะยาว มีความเสี่ยงต่ำ อีกทั้งยังได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และมีโอกาสเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ในอนาคต แต่ข้อเสีย คือ ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก

6. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจในการหารายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่มีทุนไม่มากพอที่จะเริ่มลงทุนด้วยตัวเอง การเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์มีข้อดี คือ ไม่ต้องลงทุนมากนัก แต่ต้องใช้ทักษะการพูด และการนำเสนอที่ทำให้ผู้คนสนใจสิ่งที่เรานำเสนอไป รวมไปถึงต้องใช้ความอดทนในการพูดคุย เจรจา และต่อรองทั้งกับตัวลูกค้า และกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์

7. เปิดธุรกิจแฟรนไชส์ การซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านสะดวกซื้อ กาแฟ ชาไข่มุก ของหวาน อาหาร หรือ สินค้าประเภทอื่นๆ มาเปิด นับเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวกสบายกับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจด้านนั้นๆ มาก่อน หรือ ไม่ถนัดด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วธุรกิจแฟรนไชส์เหล่านั้นจะมีผู้ให้คำปรึกษาด้านการจัดการ การตลาด และอื่นๆ ซึ่งข้อเสียของธุรกิจประเภทแฟรนไชส์ คือ ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ได้กำไรหรือผลตอบแทนกลับมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเราต้องจ่ายผลตอบแทนบางส่วนกลับไปให้เจ้าของแฟรนไชส์ แลกกับการช่วยดูแล และให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ

8. สร้างงานเขียนบนโลกออนไลน์ ใช้ความสามารถในการเขียน และจินตนาการของคุณสร้างสรรค์ผลงาน และเขียนมันลงในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการเขียนแบบบทความ หนังสือ นิยาย หรือ งานเขียนประเภทใดก็ตาม ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการนำหนังสือ นิยาย หรือ งานเขียนบนโลกออนไลน์ไปตีพิมพ์ หรือ เอาไปสร้างบทละคร ภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงนักเขียนบทความหลายๆ คนก็มีผู้ติดตามมากขึ้น และกลายเป็นนักเขียนบทความที่ไม่ว่าจะเขียนถึงอะไร ก็กลายเป็นที่สนใจของผู้คนอีกด้วย

9. การใช้ความถนัดเฉพาะด้าน ของคุณสร้างตัวตนบนโลกอินเทอร์เน็ต ในโลกปัจจุบันผู้คนใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กกันอย่างแพร่หลาย นอกเหนือจากมีผู้ใช้แล้ว ก็ยังต้องมีผู้สร้างอีกด้วย แต่ผู้สร้างที่ว่าหมายถึงผู้สร้างกระแส หรือ คอนเทนต์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ นั่นก็คืออินฟลูเอนเซอร์นั่นเอง ความหมายโดยทั่วไปของอินฟลูเอนเซอร์ คือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อสื่อ และผู้คนในโลกออนไลน์ เช่น ผู้ที่มีชื่อเสียง หรือ มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากตาม Blog, Instagram, Facebook, YouTube , Twitter และ TikTok ซึ่งผู้คนเหล่านี้ ไม่ว่าจะหยิบจับหรือทำอะไร ก็กลายเป็นกระแส มีคนพูดถึง หรือ มีผู้ทำตามเต็มไปหมด

10. การขายสินค้าแบบ Drop shipping คือ การขายสินค้าโดยที่เราไม่ต้องสต็อกสินค้า และเราไม่ใช่เจ้าของสินค้า แต่เราเป็นผู้ช่วยในการพูดคุย และดูแลลูกค้า รวมไปถึงการตอบคำถามต่างๆ ของผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของทางร้าน สอบถามชื่อ ที่อยู่ในการจัดส่ง เบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าของทางร้าน โดยทั่วไปแล้วจะได้ค่าตอบแทนประมาณ 40 – 50 บาทต่อออเดอร์ หรือ อาจได้รับค่าตอบแทนสูงถึง 100 – 300 บาทต่อออเดอร์ เลยทีเดียว ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อตกลง ราคาสินค้า ขนาดของสินค้า ข้อดี คือ เราไม่ต้องลงทุนเอง แต่ก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการทำงานประเภทนี้

การหารายได้แบบ Passive income นับเป็นเรื่องที่ดี และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบรายได้ทั้งทาง Active และ Passive income ดังนั้นเราจึงควรมีรายได้ทั้งจากทาง Active และ Passive income เพื่อความมั่นคงทางการเงิน อีกทั้งยังทำให้เราวางแผนทางการเงินได้ง่ายขึ้น เนื่องจากหากเราขาดรายได้จากทางใดทางหนึ่งไป เราก็ยังคงมีรายได้จากอีกทางหนึ่งอยู่

อ้างอิง
https://www.solivelyth.com
https://www.krungsri.com
https://www.finnomena.com
https://www.moneybuffalo.in.th
https://th.trade.z.com
https://www.tidlor.com
https://www.finnomena.com
https://www.smartmathpro.com

หัวข้อที่น่าสนใจ