PTT Group Sharings
17 มิถุนายน 2564

การวัดออกซิเจนในเลือดจาก Smartwatch

ในสถานการณ์ที่รุนแรงอย่างโควิด – 19 ทำให้มีหลาย ๆ คนที่กังวลว่าตนเองจะมีความเสี่ยง แต่ไม่แสดงอาการ จึงแก้ปัญหาโดยการพยายามไปตรวจเพื่อหาเชื้อแต่ก็ไม่พบ วันนี้เราเลยจะมาแชร์อีกหนึ่งวิธีในการตรวจว่ามีความเสี่ยงติดเชื้อรึเปล่า นั่นก็คือ วิธีการตรวจวัดหาปริมาณค่าออกซิเจนในเลือด ด้วย Smartwatch เครื่องประดับที่หลาย ๆ คนในยุคปัจจุบันนิยมสวมใส่กัน ซึ่งค่าออกซิเจนในเลือดจะสามารถบอกเราได้ว่า ในขณะนี้ ร่างกายของคุณมีค่าออกซิเจนที่เป็นปกติหรือไม่ หรือมีความผิดปกติในระดับไหนกัน

ค่าออกซิเจนในเลือด มีความสำคัญอย่างไรต่อระบบร่างกาย
ในร่างกายคนเรามีการทำงานอย่างที่เรียกว่า ระบบวงจรเลือดที่มีหัวใจและปอดเป็นหลัก การที่เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจ เป็นการทำหน้าที่ให้หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือด เพื่อผลิตออกซิเจนให้เพียงพอและมีหน้าที่คอยลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยผ่านหลอดเลือด เพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกตินั่นเอง

แต่ถ้าหากว่า ค่าออกซิเจนในเลือดน้อย มีไม่เพียงพอ หรือที่เรียกว่า ร่างกายมีภาวะค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ ร่างกายจะมีการปรับสมดุลโดยการทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างหนัก ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ปฏิกิริยาภายนอกจะหายใจถี่ขึ้น เร็วขึ้น และอาจเกิดความดันโลหิตสูงหรือต่ำตามมา ถ้าหากร่างกายไม่สามารถปรับระดับค่าออกซิเจนในเลือดได้ เซลล์ในร่างกายก็จะเริ่มเกิดการทำงานที่ผิดปกติ ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ เริ่มล้มเหลวนั่นเอง

แล้วค่าออกซิเจนในเลือดที่ปกติควรเป็นอย่างไร
การวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด สามารถตรวจได้จากระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเซลล์เม็ดเลือดแดง ปกติแล้วร่างกายคนเราจะมีค่าออกซิเจนในปริมาณ 95 – 100 % แต่ถ้าหากต่ำกว่า 90 – 80 % สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดภาวะค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ หรือถ้าต่ำกว่า 70 % อาจจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด – 19 ที่ไม่แสดงอาการทางร่างกายออกมา แต่ก็อาจจะมีภาวะค่าออกซิเจนในเลือดต่ำได้ การตรวจหาความผิดปกติของค่าออกซิเจนในเลือด จึงเป็นอีกทางหนึ่งสัญญาณในการวินิจฉัยเบื้องต้นได้

Smartwatch ตัวช่วยยุคใหม่ ในการวัดค่าออกซิเจนในเลือด
หลาย ๆ คน เริ่มหันมาใส่ใจร่างกายภายในของตนเอง บางบ้านที่มีสมาชิกหลายคนก็ซื้อเครื่องวัดค่าออกซิเจน แบบปลายนิ้ว (Fingertip Pulse Oximeter) แต่อีกหลาย ๆ คนที่มีการนิยมใช้ Smartwatch หรือ Smart band เป็นประจำอยู่แล้ว นับว่าเป็น Gadget ที่มีประโยชน์สำหรับตอนนี้มากทีเดียว เพราะตัว Smartwatch มีฟังก์ชั่น SpO2 เซนเซอร์ที่คอยตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด เป็นการตรวจเบื้องต้น ก่อนจะไปเช็คซ้ำกับทางโรงพยาบาล

การทำงานของระบบฟังก์ชั่น SpO2
Smartwatch และ Smart band ใช้หลักการสะท้อนของแสง โดยปกติ ด้านล่างของอุปกรณ์จะมีแสงสีแดงหรือเขียวกะพริบเป็นระยะ ตัวเซนเซอร์จะปล่อยแสงสีแดง หรือสีเขียวออกมา พร้อมกับคลื่นอินฟราเรด ซึ่งเราจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แสงสีแดงจะทะลุผ่านเฉพาะฮีโมลโกลบิน หรือเม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนมากเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน คลื่นอินฟราเรดจะทะลุผ่านเฉพาะเม็ดเลือดแดงที่มีค่าออกซิเจนต่ำ เราสามารถตรวจสอบระดับออกซิเจนได้ จากปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมายังอุปกรณ์นั่นเอง

วิธีง่าย ๆ เพิ่มออกซิเจนในร่างกาย

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายได้ผลิตปริมาณออกซิเจนที่มากพอต่อความต้องการ นอกจากนี้ ยังกระตุ้นระบบการทำงานของหัวใจให้แข็งแรง และสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น ในสัปดาห์หนึ่ง ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 2 – 3 วัน อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที
  • การดื่มน้ำให้เยอะ ๆ ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือดได้ และยังช่วยเร่งกำจัดของเสีย ล้างสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด รวมไปถึงช่วยในเรื่องผิวพรรณให้มีความชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านอีกด้วย โดยปกติแล้ว น้ำดื่มจะมีค่าออกซิเจนอยู่ประมาณ 7 มิลลิกรัมต่อลิตร ดังนั้น คนเราควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 – 3 ลิตรต่อวัน
  • การนวด บริเวณที่ปวดเมื่อย จะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดตัว ให้เลือดและออกซิเจนไปไหลเวียนในบริเวณนั้นได้ดียิ่งขึ้น
  • การอบตัวด้วยความร้อน เคยสังเกตไหมว่า การซาวน่า การ Steam หรือการแช่ในน้ำร้อน จะทำให้ใบหน้าหรือผิวพรรณมีสีแดง หรือเลือดฝาด เกิดจากความร้อนที่ไปทำปฏิกิริยากับหลอดเลือดให้ขยายตัวขึ้น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • การสูดหายใจเต็มปอดจะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น โดยการสูดหายใจเข้าลึก ๆ และออกอย่างช้า ๆ
  • ลดความเครียดลง เมื่อเวลาเราเครียด กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเกร็ง ส่งผลให้ระดับออกซิเจนลดลง

ปัจจุบัน Smart watch รุ่นใหม่แทบจะทุกแบรนด์มีระบบ SpO2 อยู่แล้ว การตรวจค่าออกซิเจนด้วย Smartwatch นั่นก็เป็นอีกข้อดีหนึ่งสำหรับผู้ที่ใช้งานอยู่แล้ว เป็นการเช็คเบื้องต้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต อย่างไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราถือเป็นด่านสุดท้ายที่เชื้อไวรัสจะเข้ามาได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอกจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

ที่มา: https://www.facebook.com/CareShareAndRespect/posts/3887632551349115

หัวข้อที่น่าสนใจ